>> คลิกเพื่อ กลับสู่รายการบทความทั้งหมด



"จอร์จ ลูคัส
" ผู้ให้กำเนิด มหากาพย์สตาร์วอร์ส

"I regret not the things I've done, but those I did not do"
"สิ่งที่ทำให้ผมเสียใจ ไม่ใช่สิ่งที่ผมทำไปแล้ว แต่มันคือสิ่งที่ผมยังไม่ได้ทำ"...จอร์จ ลูคัส


จอร์จ ลูคัส ผู้ให้กำเนิดมหากาพย์สงครามอวกาศ Star Wars และตำนานผจญภัย Indiana Jones...ชื่อเต็มเขาคือ จอร์จ วอลตัน ลูคัส จูเนียร์ (George Walton Lucas) เกิดในปี 14 May 1944 ในเมืองเล็กๆของ แคลิฟอร์เนีย เป็นลูกชายของนักธุรกิจชื่อดังที่ทุ่มเทชีวิตอยู่กับแต่การทำงาน ทำให้ชีวิตในวัยเด็กของเขาต้องหาความสุขกับภาพยนตร์ซีรียทางโทรทัศน์ ที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับการผจญภัย และหนังสือการ์ตูน-ภาพยนตร์แนวผจญภัยในสมัยนั้นโดยเฉพาะเรื่อง "แฟลช กอร์ดอน (Flash Gordon)" ที่ลูคัสได้รับแรงบันดาลใจมากมาย(และก็ส่งอิทธิพลต่อ Star Wars มากมายเช่นกัน)



- ที่มารูปแบบ ไตเติ้ล Star Wars สไตล์ จาก Flash Gordon :) -

ต่อมาในช่วงชีวิตวัยรุ่น ลูคัส เองมีความสับสนในทางเดินของชีวิตตนเองเหมือนๆกับวัยรุ่นทั่วไป อีกทั้งเกรงกลัวที่ต้องรับภาระอันหนักอึ้ง ที่จะต้องเป็นคนรับช่วงต่อจากธุรกิจของพ่อ นั่นเป็นสิ่งที่ทำให้เขาสับสนและใช้ชีวิตอย่างไม่มีสาระอยู่พักหนึ่ง แต่ในช่วงเวลานี้ เขากลับชื่นชอบที่จะหาอะไรตื่นเต้นให้กับชีวิตอย่างการขับรถแข่งอยู่เสมอๆ ในปี 1962 ลูคัสประสบอุบัติเหตุรถคว่ำ หมดสติและกระเด็นออกจากนอกรถ แต่นั่นเป็นจุดพลิกผันที่ทำให้ ลูคัส เริ่มเข้าใจความหมายของชีวิตและทำให้เขามีจุดมุ่งหมายของชีวิตตนเอง นั่นคือ การศึกษาหาความรู้ในสาขาวิชาที่เขาสนใจอย่างมนุษยวิทยา สังความศาสตร์และปรัชญา และต่อมา ลูคัส ก็ได้เข้าศึกษาต่อในสาขาวิชาภาพยนตร์ในมหาวิทยาลัยเซาเทิร์น รัฐแคลิฟอร์เนีย และหลังจากจบการศึกษาได้ไม่นาน เขาก็มีผลงานที่เรียกได้ว่าเป็นเรื่องที่ทำให้เขาเป็นที่รู้จักกันในบรรดาผู้กำกับภาพยนตร์ด้วยกัน อย่าง THX 1138:4EB (1967) (อันเป็นที่มาของชื่อระบบเสียงที่พัฒนาโดยบริษัทของเขาในภายหลัง) แต่น่าเสียดายที่สตูดิโอวอเนอร์ บราเธอส์ ไม่ชอบภาพยนตร์เรื่องนี้ และถอดลูคัสออกจากการควบคุมภาพยนตร์เรื่องนี้ ซึ่งในช่วงที่ภาพยนตร์เรื่องนี้ออกฉาย ก็ไม่ประสบความสำเร็จเท่าที่ควร ลูคัส รู้สึกไม่พอใจกับระบบการควบคุมของสตูดิโอ และตั้งความฝันไว้ว่าจะทำทุกอย่างด้วยตัวเอง

เขายังไม่ละความพยายาม และเดินหน้าต่อไปด้วยการสร้างผลงานภาพยนตร์เรื่องที่สองต่อ นั่นคือ American Graffiti แต่ในระหว่างนั้น ลูคัสได้หวนกลับไปนึกถึงการ์ตูนและภาพยนตร์สุดโปรดของเขาอย่าง แฟลช กอร์ดอน และต้องการที่จะซื้อลิขสิทธิ์มาทำต่อ แต่กลับไม่ประสบผลสำเร็จ แต่ด้วยความชื่นชอบในภาพยนตร์แนวนี้ทำให้เขาเริ่มมีความคิดที่จะสร้างภาพยนตร์อวกาศของตัวเองขึ้นมา ปี 1971 ลูคัสพยายามเสนอขายบทนวนิยายอวกาศที่เขาเขียนเองให้กับสตูดิโอยักษ์ใหญ่อย่างยูนิเวอร์แซล และยูไนเต็ด อาร์ตทิส แต่กลับถูกปฏิเสธ เพราะไม่คิดว่าเรื่องราวแนวนี้จะมีผู้ชมสนใจ แต่ 20th Century FOX ได้ให้เงินทุน 5 หมื่นเหรียญ สำหรับการเขียนบทและพัฒนาบท และ หนึ่งแสนเหรียญเพื่อให้ ลูคัส กำกับภาพยนตร์เรื่องนี้ ปี 1973 American Graffiti ได้ออกฉายภายใต้การสนับสนุนและจัดจำหน่ายโดย ยูนิเวอร์แซล สตูดิโอ ซึ่งนั่นทำให้ภาพยนตร์เรื่องนี้ได้กำไรไปถึง 117 ล้านเหรียญ ในขณะที่ทุนสร้างไม่ถึง 1 ล้านเหรียญเท่านั้นเอง บทภาพยนตร์ Star Wars ของ ลูคัส เขียนเสร็จในปี 1975 โดยมีความยาวกว่า 500 หน้าซึ่งถือว่ายาวมากโดย ลูคัส บอกเอาไว้ว่า นี่เป็นบทภาพยนตร์สำหรับ 3 ตอน โดยจะตัดแบ่งช่วงต้นเพียง 1ใน 3 เพื่อสร้างภาพยนตร์ภาคแรก

ลูคัส ต้องทนรับฟังคำดูถูกเหยียบหยามจากบรรดาผู้กำกับภาพยนตร์ด้วยกัน ที่ได้ชมภาพยนตร์ตัวอย่างก่อนเข้าฉายจริงที่ยังไม่ได้ตัดต่อ รวมไปถึงผู้ชมทั่วไปที่ได้ดูตัวอย่างภาพยนตร์เรื่องนี้ก่อนฉาย แต่แล้วปาฏิหาริย์ก็เกิดขึ้น เมื่อ Star Wars (1977) สามารถลบคำสบประมาทได้ทั้งหมดเมื่อถึงวันออกฉายจริง เมื่อผู้ชมต่างนิยมชมชอบ และชื่นชมเป็นเสียงเดียวกัน อีกทั้งยังสามารถทำรายรับทั่วโลกได้ถึง 430 ล้านเหรียญภายในระยะเวลา 2 ปี และยังสามารถคว้ารางวัลออสการ์มาได้ถึง 5 รางวัล (ในสาขาเทคนิคพิเศษต่างๆ) จากการเข้าชิงถึง 10 รางวัลทีเดียว ลูคัส เดินหน้าต่อทันที เพื่อสานต่องานที่ค้างไว้ของเขาให้เสร็จ นั่นคือการสร้างบทภาพยนตร์อีก 2/3 ที่เหลือให้สำเร็จขึ้นมาเป็นภาพยนตร์ให้ได้ และด้วยกำไรมหาศาลจากสตาร์วอร์สตอนแรก ทำให้ ลูคัส สามารถออกทุนในกระบวนการสร้างภาพยนตร์ทั้งหมดให้กับตัวเองได้ในภาคต่อมา และให้ 20th Century FOX เป็นเพียงผู้จัดจำหน่ายเท่านั้น ในภาพยนตร์ภาคต่ออย่าง The Empire Strikes Back ถึงแม้ว่า ลูคัส จะผันตัวเองจากผู้กำกับไปนั่งเก้าอี้ผู้อำนวยการสร้างแทนโดยให้ "เออร์วิน เคิร์ชเนอร์" มารับตำแหน่งผู้กำกับภาพยนตร์แทน แต่นั่นก็ทำให้ลูคัสสามารถควบคุม และดูแลความเป็นไปของภาพยนตร์ได้มากกว่าสมัยภาคแรก ที่เขาต้องเหน็ดเหนื่อยและเสียแรงมากกับการเป็นผู้กำกับและอำนวยการสร้างไปพร้อมๆกัน

- ภาพประวัติศาสตร์ วันแรกที่ Star Wars เข้าฉาย (Episode IV : A New Hope) -
Grauman's Chinese Theatre, May 25, 1977 Hollywood, California, United States



* เกร็ด ลูคัส กับ Star wars :


* ดั้งเดิมเเรกสุด จอร์จ ลูคัส เเค่เขียนบทของ Star wars Episode 1-2-3-4-5-6 ขึ้นมาเพื่อจะทำเป็นบทของภาพยนตร์เท่านั้นเอง โดยหยิบ 4-5-6 ขึ้นมาทำก่อนเพราะเทคโนโลยีการถ่ายทำในสมัยนั้น(1977) อำนวยให้กับเนื้อหาไตรภาคดั้งเดิมมากกว่า ส่วน 1-2-3 เขาตั้งใจเอาไว้ทำทีหลัง
( ภาพยนตร์สตาร์วอร์สไตรภาค 1-2-3 ใช้ คอมพิวเตอร์กราฟฟิค หรือ CG กว่า 70-80 % ของเนื้อภาพยนตร์ทั้งหมด ตัวอย่างเช่น กรณี ภาพยยนตร์ Episode 3 ลูคัส ใช้เวลาถ่ายทำในส่วนของคนแสดงแค่ประมาณ 2 เดือน แต่ใช้เวลาจัดทำส่วนของ CG ถึงประมาณ 2 ปี) เเต่ปรากฏว่าหนังที่ลุคัสทำขึ้นมานี้ดังทะลุโลกอย่างต่อเนื่องเรื่อยมาทุกภาค เขาจึงขยายเนื้อหา Star wars ด้วยการเเต่งภาคนวนิยาย(Novel)ขึ้นมาเสริมทีหลัง โดยมีนักเขียนมาร่วมแต่งด้วยมากมาย แล้วก็ต่อยอดไปเป็นภาค การ์ตูนทีวีซีรี่ย์, หนังสือการ์ตูน(Comic), เกมส์(Game) และอื่นๆอีก ฯลฯ ซึ่งจะเน้นไปในส่วนเนื้อหาที่ไม่มีปรากฏในภาคภาพยนตร์ หรือขยายความในภาพยนตร์ ซึ่งก็ยังคงได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีจากแฟนๆ

- Star wars ภาคหนังสือนวนิยาย(Novel) และหนังสือการ์ตูน(Comic) ผลิดสร้างสรรค์ออกมามากมายนับร้อยๆ!ตอน (และปัจจุบันยังคงมีเขียนตอนใหม่ๆ ผลิตออกมาต่อเนื่อง) -


* ลูคัส เป็นผู้บุกเบิกเทคนิคใหม่ ๆ ให้กับวงการภาพยนตร์มากมาย เขาก่อตั้งบริษัท อินดรัสเทรียลไลท์แอนด์เมจิก (Industrial Light and Magic - ILM) ซึ่งเป็นสตูดิโอที่ทำเกี่ยวกับด้านเทคนิคพิเศษ (Visual Effect), มีส่วนร่วมในการพัฒนา ระบบเสียง THX และการถ่ายทำภาพยนตร์ด้วยกล้องวิดีโอดิจิทัลทั้งเรื่องใน ภาพยนตร์ Episode II : Attack of the Clones

* ชื่อตัวละครเเละดวงดาวในจักรวาล Star wars จอร์จ ลูคัส ดัดแปลงมาจากเกือบทุกภาษาทั่วโลก ตั้งเเต่ภาษาอังกฤษ ภาษาโปเเลนด์ ภาษายุโรป ภาษาญี่ปุ่น ภาษาจีน ฯลฯ อีกมากมายนับไม่ถ้วน รวมทั้งภาษาไทย อย่าง ชื่อดาว "Utapau" ใน Episode III ที่ นายพลไซบอร์ก "กรีวัส"สิ้นชีพ จอร์จ ลูคัส ก็เอามาจากชื่อ "อู่ตะเภา" ฐานทัพเรือสัตหีบ จังหวัดชลบุรี เรานี่เอง

* ชื่อ "โยดา" มาจากภาษาสันสกฤต หมายถึง "นักรบ"

* ชื่อ ดาร์ธ เวเดอร์ (Darth Vader) มาจากการผสมคำว่า เดธ วอเทอร์ (Death Water) กับ ดาร์ค ฟาเธอร์ (Dark Father)

* ลูคัส เคยตั้งใจจะให้ ดาร์ธ เวเดอร์ เป็นแค่นักล่าเงินรางวัลคนหนึ่ง แต่เมื่อมีการเปลี่ยนแปลง เขาจึงนำคาแรคเตอร์ดังกล่าว ไปสร้างเป็นตัวละคร โบบ้า เฟ็ทท์ ใน Episode V แทน

* ชุดของดาร์ธ เวเดอร์ เป็นการผสมผสานชุดของสิงห์มอเตอร์ไซด์(ไม่ใช่วิน หน้าปากซอยนะ), เสื้อคลุมของพระในสมัยกลาง(ยุคมืด), หน้ากากกันแก๊สพิษ + หมวกของพวกนาซีเข้าไว้ด้วยกัน

* ชื่อเดิมของ ลุค สกายวอร์คเกอร์ ที่ลูคัสตั้งไว้คือ ลุค ดาร์คไลท์เตอร์ และ ลุค สตาร์คิลเลอร์

* ลูคัส ได้ไอเดียของตัวละคร ชิวแบคก้า มาจากหมาขนยาวตัวหนึ่งของภรรยาชื่อ "อินเดียน่า" ซึ่งชอบมานั่งหน้ารถหมือนเป็นผูช่วย (แต่เสียงร้องเอามาจากหมี+สิงโต+ช้างน้ำและอูฐ) และภายหลังเขายังได้นำชื่อมันไปตั้งเป็นชื่อพระเอกหนังเรื่อง Raiders of the Lost Ark (1981) ที่ผู้ชมรู้จักกันดีนั้นคือ...อินเดียน่า โจนส์

* แม้ โยดา ใน Episode I - III จะเป็นตัวละครที่ถูกสร้างขึ้นจากคอมพิวเตอร์ แต่โยดาใน Episode V และ VI เป็นการใช้หุ่นชัก และให้เสียงพากย์โดยนักเชิดหุ่นฝีมือดีนาม "แฟรงค์ อ๊อซ" (Frank Oz)

* การเชิดหุ่นโยดา จะใช้ผู้ช่วยอีก 2 คน เพื่อให้การเคลื่อนไหวที่ซับซ้อน มีความคล่องตัวและเป็นไปในทิศทางเดียวกัน

* จักรพรรดิ์พัลพาทีน ที่ปรากฏตัวเป็นครั้งแรกใน Episode V นี้ ผู้แสดงเป็นหญิงชราที่ถูกจับมาโปะเมคอัพหนาเตอะเข้าไป โดยมี "คลิฟ เรวิลล์" เป็นผู้ให้เสียง ไม่ใช่ "เอียน แม็คเดียร์มิด" ที่สวมบทจักรพรรดิ์ใน Episode VI - Return of the Jedi และกลับมารับบทวุฒิสมาชิกพัลพาทีนอีกครั้ง ใน Episode I - III
(หมายเหตุ - ลูคัส ตัดสินใจให้ เอียนฯ มาแต่งหน้าเป็น จักรพรรดิพัลพาทีน อีกครั้งเพื่อนำภาพที่ถ่ายทำใหม่ มาตัดต่อทับภาพเดิมในฉบับ Special Edition -DVD)

* "อเล็ค กินเนสส์" เกือบจะไม่ได้มาแสดงเป็น โอบี-วัน เคโนบี ใน Episode V : The Empire Strikes Back เพราะเพิ่งไปผ่าตัดดวงตามา

* ในโครงเรื่องฉบับร่าง Episode V : The Empire Strikes Back ฉากมือ ลุค ที่โดน ดาร์ธเวเดอร์ ตัด! ... ตอนแรก ลูคัส ตั้งใจจะให้ มือขยับไปหยิบกระบี่แสงได้และสู้ต่อ ก็ด้วยพลัง The Force อันเหนือชั้นของลุค

* ชื่อ"แพดเม่" นำมาจากคำภาษาสันสกฤตที่แปลว่า "ดอกบัว"

* "นาตาลี พอร์ตแมน" มีปัญหาระหว่างการถ่ายทำไม่น้อย เพราะอยู่ในช่วงกำลังโตเป็นสาว เมื่อถ่าย Episode II ไปได้ครึ่งเรื่อง ลูคัสพบว่า เสียงของพอร์ตแมนเปลี่ยนไป จนต้องไปปรับเสียงในแล็บ และลงเสียงใหม่บางส่วน อีกทั้งลูคัสยังอยากให้เสียงของตัวละครแพดเม่ และองค์หญิงอมิดาลา แตกต่างกันเล็กน้อย ก็ต้องนำเสียงไปปรับแก้กันอีกรอบ

* ก่อนหน้าที่ "แฮริสัน ฟอร์ด" จะมารับบทเป็น ฮาน โซโล จนมีชื่อเสียงโด่งดังจนถึงทุกวันนี้ จอร์จ ลูคัส เคยคิดที่จะให้ ฮาน โซโล แสดงโดยนักแสดงผิวดำ ดังนั้นนักแสดงผิวสีมากมาย รวมทั้งนักดนตรีก็เข้ามารับการคัดเลือก แต่ในท้ายที่สุด ลูคัส ก็เปลี่ยนใจ

* ในตอนคิดเรื่องใหม่ๆ ฮาน โซโล ต้นฉบับคือปีศาจตัวสีเขียวและมีจมูกงอ โดยมีนิสัยใจคอ นำมาจากเพื่อนผู้กำกับของเขาที่ชื่อ "ฟรานซิส ฟอร์ด คอปโปล่า"(ผู้กำกับ เดอะก็อดฟาเธอร์ นั้นเอง)

* ในตอนคิดเรื่อง ลูคัสคิดไว้ให้ตัวละครลุงและป้า ของลุค สกายวอร์คเกอร์ เป็นคนแคระ

* "แครี ฟิชเชอร์" คิดหนักเมื่อต้องลดน้ำหนักอย่างมากในการรับบท เจ้าหญิงเลอา แต่ในท้ายที่สุด ลูคัส ก็ปล่อยให้เธอแสดงปล่อยตัวตามสบาย

* ใน Episode VI ลูคัสกะจะใช้ชื่อตอนว่า Revenge of the Jedi แถมมีการพิมพ์ใบปิด Teaser หนังออกมาแล้วด้วย แต่ในท้ายที่สุดลูคัสก็เปลี่ยนใจและใช้ชื่อตอนว่า Return of the Jedi แทนเพราะคำว่า Return(ชัยชนะ) ดูจะเหมาะสมกับเหล่าเจได มากกว่าคำว่า Revenge ที่แปลว่า ล้างแค้น ซึ่งถูกนำมาใช้ใน Episode III ในเวลาต่อมานั้นเอง

* โครงเรื่องฉบับร่างพล็อต Star Wars Episode VI : Return of the Jedi ... ลูคัส ได้แต่งให้มีตอนจบทางเลือกอีกแบบ นั้นคือ ... หลังจาก Darth Vader ตาย ... ลุค ก็เข้าสู่ด้านมืดในบัดดล จึงนำหมวกเวเดอร์ มาสวม! กลายเป็นซิธลอร์ดคนต่อไป !

* Revenge of the Sith เป็นหนัง Star Wars ภาคเดียวที่ได้เรตหนัง PG -13 แทนที่จะเป็นเรต PG เหมือนกับภาคก่อนๆ ซึ่งลูคัส ให้สัมภาษณ์ว่า เขาเองตั้งใจที่จะให้หนังได้เรต PG-13 อยู่แล้ว ด้วยเหตุที่หนังภาคนี้เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงของตัวละครที่เคยเป็นฮีโร่ ไปสู่การเป็นดาร์ธ เวเดอร์ ผู้ชั่วร้าย และการกระทำที่ชั่วร้ายต่างๆของเขา ไม่เหมาะสำหรับเด็กๆ 5-6 ขวบเป็นแน่แท้

* หากใครสังเกตให้ดีๆ จะพบว่า ในฉากประชุมสภาแห่งสาธารณรัฐ ใน Episode I จะมีเผ่าพันธ์ของเจ้า E.T. คอยาวๆ มาโผล่ในฉากกับเขาด้วย ซึ่งลูคัส แกแอบเอามาใส่ในหนัง โดยได้รับการอนุญาตจากเพื่อนซี้ สปิลเบิร์ก เรียบร้อยแล้ว

* เมื่อสมัย Star Wars Episode IV เสร็จสมบูรณ์และออกฉาย ลูคัส กลัวเหลือเกินว่าหนังจะเจ๊งอย่างที่ใครๆพูดกัน ในวันที่เปิดตัวครั้งแรก เขาตั้งใจว่าจะหนีไปให้ไกลคนจากสตูดิโอ เขากับภรรยาหลบไปนั่งในคาเฟ่แห่งหนึ่ง และได้เห้นฝูงชนมากมายมาชุมนุมกันที่ถนน ก่อนที่ทั้งคู่จะตกตะลึง เมื่อได้รู้ว่า ผู้คนเหล่านั้นกำลังออกันอยู่หน้าโรงหนัง เพื่อเข้าคิวดูหนังของเขานั่นเอง

- จอร์จ ลูคัส ยังได้ร่วมแสดงในภาพยนตร์ Episode III - Revenge of the Sith ด้วย ในบท "Baron Papanoida" โผล่มาแว้บสั้นๆ
มันคือฉากหนึ่งภายในที่ประชุมวุฒิสภาแห่งสาธารณรัฐ(ถ้าสังเกต)จะมีชายหนุ่มผิวสีฟ้าผมหยิก ไว้เครา พุงพลุ้ย(ลองไปสังเกตดูในหนังอีกที :)...ต่อมา Baron Papanoida ก็ยังปรากฏบทบาทในภาคการ์ตูนทีวีซีรีย์ Star wars The Clone wars อีกด้วย -


- ลูกๆของ ลูคัส เอง ก็มีบทบาทร่วมแจมในภาพยนตร์ Star wars ด้วยเช่นกัน :D..."Katie Lucas" (ภาพจากซ้าย) แสดงเป็น "Amee" ใน Episode I ... เป็น "Lunae Minx" ใน Episode II และเป็น "Chi Eekway Papanoida"(ลูกสาวของ Baron Papanoida)ใน Episode III -


- "Amanda Lucas" แสดงเป็น "Tey How"(รูปซ้าย) กับ "Diva Funquita"(รูปกลาง) ใน Episode I ...และรูปขวาเป็น "Terr Taneel" ใน Episode III -


- "Jett Lucas" รับบทแสดงเป็น เจไดพาดาวันเด็ก "Zett Jukassa" ใน Episode III -


ตัวหนังสือภาษากลาง! ที่ใช้ใน จักรวาลสตาร์วอร์ส เรียกว่า The Aurebesh ... (เช็คดู ชื่อตัวหนังสือบรรทัดสองหัวข้อใหญ่ข้างรูปขยายขวาล่างนั้น = sifo dyas) *เพิ่มเติม ... เกี่ยวกับเจได "ไซโฟดิแอส (Sifo-Dyas)"คลิกที่นี่


.........................................................................


“ตอนที่เป็นผู้กำกับใหม่ๆ ผมได้แรงบันดาลใจมาจากหลายท่าน "อากิระ คุโรซาว่า", "เฟเดอริโค่ เฟลลินี่", "ชอง-ลุค โกดาร์ด", "ริชาร์ด เลสเตอร์" และ "จอห์น ฟอร์ด "ตอนนี้ผมอายุมากแล้ว ผมเดาว่าผมคงให้แรงบันดาลใจมากกว่าได้รับแรงบันดาลใจ” จอร์จ ลูคัส

ลูคัส ลาวงการการสร้างหนังฟอร์มใหญ่เมื่อช่วงต้นปี 2011...แต่สิ่งที่จอร์จ ลูคัส จะหันเหไปสนใจนั้นก็คือหนังทดลอง ตามที่เขาให้สัมภาษณ์ในนิตยสารเอ็มไพร์เมื่อเร็วๆ นี้ว่า "ผมจะเกษียณตัวเองไปอยู่ในโรงรถ พร้อมเลื่อยและค้อน เพื่อสร้างหนังที่เป็นงานอดิเรก ผมอยากทำหนังที่มีลักษณะเป็นหนังทดลอง และไม่ต้องกังวลว่าจะต้องได้ฉายในโรงไหม"...ปี 2012..."วอลท์ ดิสนีย์" ซื้อ "ลูคัสฟิล์ม" สานต่อมหากาพย์จักรวาลสตาร์วอร์สต่อไป จอร์จ ลูคัส จะมอบเงินเกือบทั้งหมดที่ได้จากดิสนีย์ให้กับเหล่ามูลนิธิเพื่อการศึกษา ด้วยเห็นว่าการศึกษาเป็นหนทางสำคัญที่ทำให้มนุษยชาติอยู่รอด และพัฒนาต่อไป

- "The Cinema of George Lucas" หลังสือชีวประวัติ-การทำงานของ Lucas -